การอัปเดตเทรนด์ในโลกออนไลน์ให้กับตัวเองเป็นสิ่งที่นักการตลาดทุกคนต้องมี เพราะในทุกปี แต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งเทรนด์ที่เราจะนำมาสรุปให้กับทุกคนในวันนี้ เป็นเทรนด์ประจำปี 2021 ของแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดียที่มีขนาดใหญ่ของโลก ก็คือ “Facebook” นั่นเอง โดย
1. Facebook Live จะกลับมาได้รับความนิยม
คาดว่าในปี 2021 Facebook Live จะกลับมาแรงอีกครั้ง เพราะในช่วงการระบาดของ โควิด-19 ที่ผ่านมา Facebook Live มีอัตราการใช้งานเพิ่มมากขึ้นถึง 26.8% และอีกสถิติที่น่าสนใจคือ จำนวน Facebook Lives ในไตรมาสที่ 2/2020 คิดเป็นเกือบ 1% ของแบรนด์ทั้งหมดบน Facebook นั่นแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มกลับมาให้ความสนใจกับ Facebook Live อีกครั้งนึง
2. การเติบโตและความสำคัญของ AR Ecosystem
ตลาดของ Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) กำลังเติบโตขึ้นอย่างมาก มีมูลค่ากว่า 18.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและมีอิทธิพลอย่างมาก
3. Video Marketing ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือการทำโฆษณาวีดีโอ มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งที่ผ่านมาในไตรมาสที่ 3 ในปี 2020 มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 2.6% ในปัจจุบัน Video คิดเป็น 17% ของเนื้อหาทั้งหมดบน Facebook
4. Facebook Group กำลังมาแรง
ในช่วงปีที่ผ่านมา Facebook Group มีมากกว่า 10 ล้านกลุ่ม และยังมีผู้ใช้งานมากถึง 1.4 พันล้านคน/เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่แบรนด์ไม่ควรมองข้าม
5. ฟีเจอร์ Facebook Shops ที่คนขายของออนไลน์ต้องใช้
หลายปีที่ผ่านมาการช้อปปิ้งออนไลน์เรียกได้ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของบางคนไปแล้ว ซึ่งการเติบโตชอง E-commerce ในทุก ๆ ปีมีแต่เปอร์เซ็นที่สูงมากขึ้น Facebook จึงเป็นแพลตฟอร์มที่มีความครบครันมากที่สุด มีทั้งคนซื้อและขายในที่เดียว
6. News Feed Ads ยังคงเป็นอันดับ 1
Facebook จะมุ่งเน้นทำกลยุทธ์การโฆษณาผ่านทางฟีดข่าวมากขึ้น โดยข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าใน ไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ฟีดข่าวสร้างรายได้ประมาณ 58.2% ของการใช้จ่ายโฆษณาทั้งหมดบน Facebook นอกจากนี้การโฆษณาใน News Feed ยังมีอัตรา CTR สูงสุดที่ 1.82%
7. พัฒนาระบบของ Chatbots
อีกหนึ่งเครื่องมือที่คอยให้ความสะดวกสบายกับผู้บริโภคคือ แชทบอท โดยทาง Facebook กำลังพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและได้คาดการณ์ว่า Chatbots จะเติบโตมากถึง 9.4 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2567